กำเนิดโลกมนุษย์( โอวาทสมเด็จโต )
สมเด็จพระพุฒา จารย์ (โต) พรหมรังสี เทศน์เมื่อวันวิสาขบูชา ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๐ เวลา ๒๔.๐๐ น.จากหนังสือ โอวาทสมเด็จโต สำนักปู่สวรรค์ เล่ม 1
โลกนี้มาจากไหน มนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไรในการขั้นแรกนี้จะต้องอธิบายถึงเรื่องโลกก่อน จักรวาลพิภพนี้เมื่อหนึ่งล้านกัปก่อน เป็นน้ำ ต่อมาประมาณเก้าแสนกัป ก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง เรื่องกัปหรือกัลป์นี้นับกันไม่รู้เรื่องละ สำหรับภาษา คือ ถ้าจะนับกันตามตัวเลขก็ต้อง หนึ่งหมื่นหนึ่งล้านเก้าพันเก้าร้อยเก้าล้านล้านล้านปี ถ้าจะนับกันตามภาษาของโลกเทวะ เขาบอกว่าหนึ่งกัปนั้นเท่ากับวันหนึ่ง คืนหนึ่ง เดือนหนึ่ง เทวะเอาผ้าวิเศษมาปัดฝุ่นที่ยอดเขาหิมาลัย จนกว่ายอดเขาหิมาลัยนั้นเรียบเหมือนพื้นดิน นั่นแหละ เรียกว่าหนึ่งกัป เพราะฉะนั้นหนึ่งกัปก็นับกันไม่รู้เรื่อง เรื่องกัปมันพูดยาก ก็ประมาณหลังจากนั้นอีกประมาณสัก ๘๐ กัปหรือ ๙๐ กัปก็นับไม่ได้ สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นในจักรวาลของน้ำ คือ น้ำกลุ่มหนึ่งได้รวมขึ้นเป็นดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์เกิดขึ้นนี้ เรื่องแรกจะต้องพูดคุยถึงก็เรื่องวิญญาณ ทันทีเดิมทีวิญญาณทั้งหลายเสวยอาภัสร คือเสวยอากาศเป็นอารมณ์ อยู่สุญญัตตา หรือ สุญตา คือ สุญญากาศ ศูนย์แห่งการไม่มีอากาศ ศูนย์แห่งความว่างเปล่า เมื่อดวงอาทิตย์เกิดขึ้น วิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ได้เข้าไปอยู่ ณ พื้นดวงอาทิตย์ ซึ่งมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในโลกนี้บูชาพระอาทิตย์นั้น อาตมาถือว่าไม่ผิด เพราะพระอาทิตย์นั้นมีเหล่าวิญญาณกลุ่มแรก เข้าไปอยู่ในสถานที่มหัศจรรย์คือ ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นในจักรวาลพิภพ และทุกคนในโลกมนุษย์เข้าใจว่าดวงอาทิตย์นั้นร้อน ตามหลักความจริงแล้วดวงอาทิตย์ร้อนแต่ผิวนอก ภายในดวงอาทิตย์นั้นอบอุ่น ไม่มีฤดูกาล แต่เหล่าวิญญาณเขาก็อยู่ได้ ข้อนี้ยกเอาไว้พูดกันต่อไปหลังจากนั้นประมาณอีก ๗๐ กัปหรือ ๙๐ กัป เรื่องกัปนั้นนับกันไม่ถ้วนดังกล่าวแล้ว โลกพระอังคารและดาวพระศุกร์ก็ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน ณ บัดนั้น สองโลกนี้แหละเป็นเรื่องของการเกิดสัตว์โลกขึ้น ในเรื่องของมนุษย์คือ วิญญาณอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ไปอยู่ ณ ดาวอังคารและดาวพระศุกร์หลังจากนั้นอีกราวๆ ๑๐๐ กัป กลุ่มน้ำกลุ่มหนึ่งได้แยกสลายจากดวงอาทิตย์ พร้อมกับผสมน้ำในจักรวาล ได้ลอยตัวขึ้นมาเกิดเป็นดวงดาวนี้ (ดาวราหู) ซึ่งเรียกว่าโลกมนุษย์ วิญญาณกลุ่มเสวยอาภัสรอยู่สุญญัตตาของอวกาศทั้งหลาย มีตัวอยากตัวเดียว ทำให้เกิดอนิจจังขึ้นมาวิญญาณกลุ่มนั้นอยากจะมาเที่ยวพิภพแดนใหม่ที่เกิด ขึ้นนี้ ดาวดวงใหม่มีสิ่งมหัศจรรย์ คือ มีละอองดิน เมื่อวิญญาณกลุ่มนั้นมาถึงโลกมนุษย์ วิญญาณนั้นมีอารมณ์ปีติอยู่ มาได้กลิ่นฟุ้งของละอองดินอันหอมอย่างอัศจรรย์ เหล่าวิญญาณก็ได้สูบละอองดินเข้าไป รัศมีการคุ้มครองตัวได้ดับวูบลง ณ บัดนั้น จะกลับไปสู่สุญญากาศไม่ได้อีก เริ่มละวิญญาณเริ่มเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน เริ่มสูบเข้าไปมาก กายนั้นก็เริ่มๆจะหยาบขึ้นมา หลังจากนั้นละอองดินก็หายไป เรื่องนี้องค์สมณโคดมได้เทศน์ไว้ว่า ต่อมาเหล่าเทวดาทั้งหลายได้กินง้วนดินเมื่อกินง้วนดินเข้าไปๆกายนั้นก็เริ่ม หยาบขึ้นๆ ตามลำดับมา จนกระทั่งเวลานี้เห็นกันว่าเป็นสัตว์ประเสริฐที่ตั้งขึ้นมาเอง เมื่อง้วนดินหมดไปเถาวัลย์ชนิดหนึ่งก็เกิดขึ้นมา ณ พิภพดวงใหม่นี้ ได้กินเถาวัลย์เข้าไปร่างกายก็ยิ่งหยาบยิ่งขึ้นๆ และการแบ่งผิวพรรณได้อุบัติขึ้น ณ โลกสัตว์นี้ เมื่อร่างกายผิวพรรณหยาบขึ้น ก็แบ่งว่าฉันสวยเธอไม่สวย เถาวัลย์นั้นก็หมดไป เมล็ดพืชได้อุบัติขึ้น ณ บัดนี้ แต่เมล็ดข้าวไม่มีเปลือกเหมือนปัจจุบัน ทุกคนเช้าไปเก็บมากิน เย็นไปเก็บมากิน เช้ามันก็เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน ด้วยการกินอิ่มนี้แหละ ทำให้มนุษย์กลุ่มหนึ่งได้เกิดตัวโลภขึ้นมา ณ บัดนั้น คือ เก็บสะสมเอาไว้กินอีกมื้อหนึ่ง ตอนเย็นขี้เกียจไปเอา เมื่อมนุษย์ใจชั่วหรือว่าสัตว์ใจชั่วเกิดอุบัติขึ้นเช่นนี้ สิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไป ณ บัดนั้น เมล็ดข้าวได้กลายเป็นข้าวเปลือกขึ้น ต่อมาได้ทำการเก็บข้าวเปลือกมาตำแล้วกินใหม่ๆ สังขารก็เริ่มหยาบขึ้นๆๆอีก จนกลายเป็นธรรมชาติแห่งหญิงชายอุบัติขึ้น ณ บัดนั้นการเป็นหญิงชายนั้นแหละ จ้องกันไปจ้องกันมาเสพเมถุนกรรม คือ สมสู่อย่างสัตว์ได้เกิดขึ้น ณ บัดนั้น กาลต่อมาสมัยนั้นเริ่มการเป็นมนุษย์หรือการเป็นสัตว์นี้ การสมสู่ ถือว่าเป็นสิ่งไม่ดีเป็นสิ่งที่ละอายจะต้องพรางตา จะต้องถูกขับไล่ ไม่เหมือนสมัยนี้ถือว่าการสมสู่เป็นการที่ดี และมนุษย์เริ่มเมื่อรู้จักการสมสู่ อารมณ์แห่งอุปาทานการรู้จักปรุงแต่ง ได้อุบัติขึ้นในสัญชาตญาณ จึงได้คิดการสร้างบ้าน สร้างที่พัก สร้างใบไม้ต่างๆ มาปกปิดสังขาร กาลเวลาต่อมา การแก่งแย่งชิงดี ชิงเอาอาหารเก็บกันมากขึ้นๆ จนกลายเป็นการรบราฆ่าฟันกันขึ้น ในโลกมนุษย์ ณ บัดนั้น หัวหน้าหมู่เริ่มเกิดขึ้น พระมหากษัตริย์เริ่มเกิดขึ้นราชาเริ่มเกิดขึ้น การปกครองคนเริ่มเกิดขึ้นโดยวิถีการผู้ที่ยังมีอารมณ์แห่งการนึกคิดประเสริฐ กว่าผู้อื่น ก็ได้ทำพิธีการปันเขตที่ดิน ทำการต่างๆว่าที่นี้เป็นกลุ่มการทำมาหากินของท่าน กลุ่มการทำมาหากินของฉัน กาลต่อมา การสมสู่มากขึ้นๆธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงแห่งโลกวิญญาณทำให้หญิงชายที่สมสู่ กันแล้ว ตัวอสุจิผสมกับไข่ของหญิงจะได้ฟักเป็นตัวคนขึ้นมา วิญญาณที่จะมา ณ โลกมนุษย์ ไม่มีที่จะกินแล้ว ต้องเข้าไปปฎิสนธิในครรภ์ของฝ่ายสตรีจนเกิดเป็นตัวตนของธรรมชาติสร้าง มาณ กาลต่อมา หลังจากนั้น โลกแห่งวัฎสงสารก็ได้เกิดขึ้น ณ บัดนั้น วิญญาณถูกแบ่งเป็นกลุ่มขึ้น ณ บัดนั้น โดยผู้ที่มาในโลกมนุษย์สมสู่กันมากเกิดมาก อยากมีอารมณ์สัตว์ขึ้นมามาก ก็เป็นกลุ่มของ นรกโลก เมื่อยังมีอารมณ์น้อยมีเรื่องน้อยก็เป็นกลุ่มของเทวะ เมื่อดับอนุสัยของเหล่านั้นก็เป็นกลุ่มของพรหม และกาลเวลาต่อมาไม่ช้าไม่นานก็เกิดพรหมโลก เทวโลก นรกโลกขึ้นมา เพราะอะไรนำจูงให้เกิดโลกเหล่านี้เล่า เพราะตัวอยากของเหล่าโลกวิญญาณ วิถีการต่อมาเพียงแต่ พรหมโลก เทวโลก นรกโลก ยังไม่พอ มนุษย์ในโลกยิ่งเกิดยุ่งยากขึ้น ยิ่งปรับปรุงธรรมชาติแห่งพืชพันธุ์ขึ้น ธาตุภูมิปรุงแต่งมากขึ้นๆ ทำให้เหล่ามนุษย์เสื่อมไป เรียกว่าเป็นสัตว์ไปยิ่งมากขึ้นๆ อารมณ์แห่งการเป็นโลกอมตะน้อยลงๆ จึงทำการรบราฆ่าฟัน ชิงดีชิงเด่นกันขึ้น ภาษาปัจจุบันเรียกว่าศีลธรรมจรรยาเสื่อมไปณ บัดนี้ มติของที่ประชุมจึงได้กำหนดว่า จะต้องส่งผู้ที่มาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อให้เป็นองค์ศาสดา คือเป็นผู้มาสอนหลักการบางอย่างให้พยายามเคลื่อนไปสู่ธรรมชาติของอารมณ์ใน อดีตกาล เป็นกายอมตะ คือ เป็นวิญญาณมาพัฒนาปรับปรุงพืชพันธุ์ในโลกมนุษย์แห่งดวงดาวนี้เท่านั้นเอง ก็อุบัติพระพุทธเจ้าขึ้น หรือหลักธรรมชาติแห่งพุทธะเกิดขึ้น จึงเรียกว่า เปลี่ยนแปลงกันเรื่อยๆ จนถึงองค์สมณโคดม และองค์ต่อไปองค์ศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดใหม่ใน ๕๐๐๐ ปี ในอนาคตข้างหน้า เวลานี้อยู่สวรรค์ชั้น ๔ และเคยจุติมาในโลกมนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่งในสมัยองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย คือ องค์สังกัจจายน์กาลเวลานั้นแหละ โลกของวิญญาณได้เปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ คือ แบ่งนรกสวรรค์เป็น ๓๓ ชั้น นรก ๑๘ ขุม สวรรค์ ๑๕ ชั้น แบ่งเป็นพรหม ๔ ชั้น คือ โลกของ รูปพรหม อรูปพรหม กึ่งพรหมกึ่งเทวะ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของธรรมชาติที่เหนือเรื่องของประวิติศาสตร์ที่ มนุษย์เกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้อาตมาก็ไม่อยากจะพูดมาก เพราะยิ่งพูดไปมันจะยิ่งสร้างเรื่องกลายเป็นนิยายไป และยิ่งปวดหัวกันมากขึ้นเวลานี้มนุษย์ปัจจุบันถือว่าตนเลิศแล้วตนแน่แล้ว แต่ส่วนมากไม่รู้พื้นกำเนิดของตนว่าตนนั้นเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นขอให้มนุษย์ทั้งหลายจงสังวรเอาไว้ด้วยว่า สิ่งใดตนยังไม่รู้ไม่ได้ศึกษา อย่าด่วนลงความเห็นกาลเวลาต่อมา เหล่าวิญญาณทั้งหลายที่มาเกิดในโลกมนุษย์แล้วดับไปอยู่ในโลกวิญญาณต่างเห็น ว่า ควรวางกฎเกณฑ์กันขึ้น จึงได้สร้างหลักแห่งมติ ๓ โลกขึ้นว่า โลกมนุษย์นี้เป็นสัตว์เดรัจฉานยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย เรียกว่าพูดภาษาไม่ค่อยรู้เรื่อง มันจำเป็นอย่างยิ่งผู้ที่จะสำเร็จจะต้องมาสำเร็จในโลกนี้ คือ จะต้องมาเกิด ดวงวิญญาณทุกๆดวง จะต้องมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อต่อต้านกับอารมณ์แห่งดวงดาวในสถานที่นี้ ให้ชนะอารมณ์แห่งนรกสวรรค์ ๓๓ ชั้น ไปสู่แดนอรหันต์ ทำให้เกิดโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมาคือ แดนโพธิสัตว์และอรหันต์เมื่อบำเพ็ญถึง คือ วิญญาณอยู่ในกายอมตะ กายอมตะมาสู่การปฎิสนธิแล้วมาเติบโตตามพืชพันธุ์ธรรมชาติแห่งดวงดาว กลายเป็นมีสังขารหรือที่เรียกว่ามนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์เสร็จแล้วให้ขัดเกลากลับไปๆสู่การเป็นดวงวิญญาณอมตะ นั้นให้ได้เท่าที่จะทำได้ จึงเกิดแดนอรหันต์ขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่เถียงกันอยู่ในโลกมนุษย์ทุกวันนี้ว่า พระเจ้าๆนั่น ก็คือเรื่องของโลกวิญญาณนั่นเอง สิ่งหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ไม่ยอมพูดถึงก็คือ ผู้ที่เหนือพระเจ้าเหนือพระเยซูคริสต์ คือเรื่องของโลกวิญญาณ มะหะหมัดผู้เป็นจอมศาสดาแห่งศาสนาอิสลามก็ไม่ยอมพูดถึง เพราะเรื่องของวิญญาณนี้ในมติ ๓ โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ใคร่ยอมพูดถึงเรื่องในโลกหน้า เพียงแต่ให้รู้เรื่องในโลกนี้ โลกหน้ามันเรื่องที่ละเอียดศึกษากันยาก เพราะฉะนั้นองค์ศาสดาของศาสนาใดก็แล้วแต่ ล้วนแต่เกิดจากตัวอยากตัวเดียวของวิญญาณ กลุ่มแรก ทำให้ต้องมาเกิดกันๆไป ปนกันจนโลกแห่งวัฎสงสาร ชาติภพนับกันไม่ถ้วน แต่ว่า มติ ๓ โลก คือ เหล่าวิญญาณผู้บำเพ็ญแล้ว รู้กันด้วยอำนาจแห่งธรรม ไม่ใช่รู้กันด้วยอำนาจอธรรม เวลานี้เรื่องของพระเจ้านั้น อาตมาภาพจะขอชี้แจงให้กระจ่างกว่านี้ว่า มติ ๓ โลก ยังจะต้องรับคำบัญชาจากดวงวิญญาณอีก ๑๙ ดวง ที่ไม่เคยจุติในโลกมนุษย์ นั่นคือผู้บัญชาการชั้นสูงของโลกมนุษย์ ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นเหล่าวิญญาณบริสุทธิ์หรือธรรมชาติแห่งรู้จริง ไม่ได้มาถูกการปรุงแต่งของดวงดาวนี้ที่เรียกว่าดวงโลกมนุษย์ ท่านเหล่านั้นอยู่เหนือสุญตา ซึ่งอธิบายให้เข้าใจได้ยาก มันเป็นภาษาธรรมสู่แนวธรรมชาติที่แท้จริง สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดจากธรรม "อยาก" ตัวเดียว สร้างความปั่นป่วนขึ้นมากลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา มาพูดกันถึงเรื่องของโลกมนุษย์ต่อไปดีกว่า เวลานี้โลกมนุษย์ยุ่งเหยิงเถียงกันอยู่ว่า ศาสนานี้ดี ศาสนาโน้นดี วิทยาศาสตร์นั้นดีนั้นก้าวหน้ากว่ากันอาตมาภาพว่า ปรัชญาก็ดี ศาสนาก็ดี ลัทธิก็ดี เกิดจากอะไรเล่าท่าน เกิดจากจิต เพราะฉะนั้นจิตประสาทเหนือกว่าจิต คือ ตัวธรรมชาติ รู้การปรุงแต่งของวิชาและอวิชา คือ ระยะแรกแห่งการเป็นมนุษย์ต่อมาจนไม่รู้ภพไม่รู้ชาติ จึงได้มีกฎกำเนิดของมติ ๓ โลกขึ้นมาว่า ต่อแต่นี้ไปมนุษย์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎสงสาร จนกว่าจะสู่แดนอรหันต์ วาระสุดท้ายของวิญญาณที่จะออกจากโลกมนุษย์ไปสู่จุดแห่งสุญตาคือ นิพพาน เป็นจุดว่างที่สุด สงบที่สุดบริสุทธิ์ที่สุด ไม่รับรู้สภาพอันนั้น และจะไม่มาเกิดนั่นคือ โลกแห่งวิญญาณ นิพพานก็อุบัติขึ้นทีนี้จะพูดต่อไปถึงคำว่าวิญญาณนี้เป็นอะไร วิญญาณเป็นสิ่งที่ละเอียดที่สุด ถ้าจะพูดอย่างง่าย เปรียบเทียบในภาษาของมนุษย์ ก็คือแก่นของมันคือ วิญญาณ แก่นอะไรเล่า เช่นเขาบอกว่ามีน้ำหอม หัวน้ำหอมนั่นหละคือ วิญญาณ สังขาร คือการปรุงแต่ง เรื่องเหล่านี้พูดกันไปเถียงกันไป มันก็ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าโคดมจึงพยายามไม่พูดถึง แต่จะพยายามสอนให้มนุษย์รู้ว่าโลกนี้ มีจริง โลกหน้ามีจริง กุศลกรรมมีจริง อกุศลกรรมมีจริง วัฎสงสารมีจริง วิญญาณมีจริง แต่ท่านจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ต่อเมื่อปฎิบัติในหลักแห่งวิปัสสนากรรมฐาน คือ ทำจิตให้กลับกลายเข้าสู่จุดแห่งวิญญาณจุดแรกที่มาเกิด แล้วท่านจะรู้สิ่งต่างๆทีนี้มนุษย์ยังลังเลสงสัยอยู่ว่า เพื่อนเราตายไปทำไมไม่มาบอกให้รู้เล่าว่าตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน คือว่าสภาวะของวิญญาณนั้นมันเป็นสสารที่ละเอียดลออมากทีเดียว ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เมื่อกายเราไม่บริสุทธิ์จิตเราไม่บริสุทธิ์ อารมณ์จิตเราฟุ้งซ่าน วิญญาณที่ไปก็ไม่สามารถมาใกล้เราได้ เพราะอะไรเล่า วิญญาณนี้จะใกล้ต่อเมื่อจิตของมนุษย์ไปสู่แนวแห่งธรรมชาติ คือว่า วิญญาณนั้นเปรียบง่ายๆ เปรียบเหมือนน้ำวิญญาณนั้นจะมาติดต่อกับเราต่อเมื่อเราสามารถทำจิตให้นิ่ง เหมือนน้ำ ไม่ใช่เต้นเหมือนน้ำมัน น้ำกับน้ำมันย่อมเข้ากันไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครจับน้ำขึ้นมาว่านี่น้ำ อาตมาภาพก็จะชี้ว่านี่แหละวิญญาณ เพราะอะไรเล่า ก็เพราะว่าน้ำนั้น เราเห็นเราย่อมจับมันกำขึ้นมาไม่ได้ นี่อาตมาภาพหมายถึงน้ำตามธรรมชาติของมัน เรื่องวิญญาณนั้นมันเป็นเรื่องที่ละเอียดละออ แต่ทีนี้มีข้อที่มนุษย์ยังสงสัยอยู่ว่าแล้วทำไมบางคนเห็นผี บางคนเห็นเทวดา บางคนเห็นโน่นเห็นนี่ หลักความจริงของธรรมชาติของเหล่าวิญญาณทั้งหลายมีพลังอยู่อย่างหนึ่งให้เขา ใช้ คือ เขาจะสามารถรวมพลังให้เป็นตัวตนขึ้น คือตัวรู้อันบริสุทธิ์คือจิตของวิญญาณนั้นตั้งแน่วแน่ในการเรียกว่า กายในกาย รวมพลังว่าข้านี้ต้องการให้ผู้นี้เห็นก็สามารถรวมขึ้นมาได้ ถ้าผู้นั้นปฎิบัติจิตสู่แนวธรรมชาติหรือในหลักของพระพุทธเจ้า ศาสนาเราเรียกว่าจิตได้ฌาน เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหลายแหล่มันมีการมาและการไปของมันเราเป็นมนุษย์เรายัง ไม่เข้าใจการเป็นอยู่ของโลกวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ปัจจุบันนี้ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเหลวไหล เพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันนี้ถูกตัวโมหะครอบงำ ตัวหลงครอบงำ คือทิฐิมานะหลงอยู่ในกามคุณ ไม่ยอมเข้าไปศึกษาในเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ปัจจุบันชอบอ้างตำรา และติดอาจารย์ จนไม่ยอมเป็นตัวของตัวเอง เข้าไปค้นสิ่งเหล่านี้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อาตมาภาพอยากถามว่าตำรานั่นน่ะมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตำรานั้นมันมีมากี่ปี เอาแต่เพียงว่ามนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ๔๐๐๐ ปี ลองไปค้นมาดูซิว่ามนุษย์กลุ่มแรกที่มาเกิดในโลกมนุษย์นี้อยู่ที่ไหน วิญญาณกลุ่มแรกที่จุติในโลกมนุษย์นี้มาที่ไหนก่อน พวกนักตำราทั้งหลายค้นให้อาตมาที แต่ฉันใดก็ดี อาตมาภาพจะขอบอกไว้ว่า วิญญาณกลุ่มแรกที่จุตินั้น จุติในทวีปเอเชียนี่เอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น