เอกธรรมมรรค อนุตตรธรรมวิถีจิต

กลุ่ม "เอกธรรมมรรค อนุตตรธรรมวิถีจิต" เป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นโดยนักศึกษาผู้บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรม บล็อคนี้จัดทำขึ้นเพื่อร่วมศึกษาบทความที่สมาชิกของกลุ่มที่ได้โพสต์ไว้ในกลุุ่ม FaceBook ผู้ดูแลนำมาเก็บไว้เพื่อสมาชิกจะได้เข้ามาศึกษาย้อนหลังเท่านั้น

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พุทธวจนะของพระอาจารย์จี้กง



เก้าหก อนุตตรวิถีได้เขียนเอกสาร
                             
                  

คุณค่าแห่งชีวิต
ธรรมแท้จริงไม่มีอะไรพิเศษพิสดาร ฟังธรรมแล้วเหาะไม่ได้ รับธรรมแล้วก็ยังต้องตาย เราก็ต้องสร้างความดี ฝากไว้ให้ลูกหลาน และ ทำดีจนนาทีสุดท้าย จากนี้ไป   เป็นคนหาไม่สำนึกบุญคุณคน ก็ไม่มีคุณค่าใด ที่จะเป็นคนได้อีก เกิดมาชาตินี้ ต้องตั้งจุดหมายของความเป็นคน ให้สูงสุด เกิดมาแล้ว จงสร้างคุณงามความดีฝากไว้ในโลกา เพื่อเป็นที่ชื่นชมแก่ลูกหลาน และ เยาวชนต่อไป มิใช่เกิดมาแล้ว สร้างแต่ความชั่วลาโลก ตราบาปทั้งหลายตกอยู่ให้รุ่นหลัง ลูกหลานของเราแสนเจ็บปวด เจ้าทั้งหลายต่างกลัว นรก! แต่ศิษย์รู้ไหมว่า หนทางแห่งชีวิตที่ผ่านมา ได้ปูทางของ นรก! ไปแล้วครึ่งชีวิต การขัดเกลาแรกๆอาจจะลำบาก อาจจะฝืน แต่เมื่อเจ้าแกร่งขึ้น เจ้าจะค้นพบตัวเอง จะพบคุณค่าอันวิเศษในตัวเอง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คิดถึงสิ่งที่ผ่านมา ว่าเราปฏิบัติได้มาก น้อย เพียงไร และ อนาคต ยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ที่จะให้เราปฏิบัติ หากเรายอมที่จะฝึกฝน อดทนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้อื่น ผลตอบแทนที่ได้มา จึงจะเสริมคุณค่าและมีศักดิ์ศรีสูง ขึ้น และประเสริฐ โดยไม่ใช่จากคำชมและคำปลอบโยน จากผู้อื่น แม้เราจะอจู่ในที่ต่ำต้อย แต่ในที่ต่ำต้อยนั้น จะรองรับทุกๆคนเข้ามาอยู่ได้ หมือนกับสายน้ำที่อยู่ในที่ต่ำ จึงสามารถรับน้ำ จากเขาอันสูงใหญ่นั้น ลงมาสู่ตนเอง จนเป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ได ก่อนทีจะค้นหาผู้อื่น ค้นหาสิ่งภายนอก ควรที่จะมาค้นหา ตัวเราเองเสียก่อน เมื่อเรามั่นคงดีแล้ว เคาจึงสามารถฉุดช่วยผู้อื่น ได้อย่างปลอดภัย ความสุขที่ศิษย์พบในปัจจุบัน ถ้าหากศิษย์ยังหลงระเริงอยู่กับมัน ต่อไป ศิษย์จะพบกับความทุกข์ อย่างมหันต์ เมื่อศิษย์ละจากกายสังขารนี้ไปแล้ว ไมมีผู้ไดจะช่วยศิษย์ได้อีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก มีการเปลี่ยนแปลง แม้เสื้อผ้าที่เราสวมใส มีวันหนึ่งจะต้องขาด เส้นผมที่ติดอยู่กับศีรษะของเรา มีวันหนึ่งมันก็ต้องร่วงหล่นไป

การบำเพ็ญ
การแสดงออกของแต่ละคน จะแสดงออกซึ่งจิตศรัทธาของคนคนนั้น คนบำเพ็ญธรรม มีคำพูดที่ต้องงพูดบ่อยๆก็คือ "ขอบคุณ"
"ขอโทษ"
"ไม่ต้องเกรงใจ"
"สวัสดี"

"ไม่เป็นไร"
คำพูดเหล่านี้ศิษย์ของอาจารย์ควรจะพูดบ่อยๆ การขอบคุณไม่ใช่เป็นการยกยอปอปั้นแต่เป็นการแสดง ความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมา การขอโทษก็เพื่อแสดงความจริงใจที่เรา ทำผิดไป การบำเพ็ญหากเราไม่ถดถอย หรือไม่หยุดเดิน ก็จะสามารถก้าวถึงจุดหมายได้ แต่หากเราหยุดเดิน หรือ ถอยหลังกลับ เราจะก้าวถึงจุดหมายได้อย่างไร เราต้องกำหนดจิตใจที่ตั้งมั่น ให้กับตัวเอง ล้มบ้าง ลุกบ้าง ก็ยังดี ดีกว่าไม่ขยับ หรือ ดีกว่าหันหลังกลับไปเลย ในโลกนี้ ไม่มีทางตันเลย มีแต่ทางออกทั้งสิ้น ถ้าเรามีดวงตาแห่งธรรม เราก็จะพบทางออก ทุกช่องทาง คนที่อายุมาก สำเร็จธรรมก็มีมากมาย แต่ถ้าอายุมากแล้ว นั่งอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีประโยชน์ รอกุศลจากลูกหลาน ศิษย์รอทำไม ทำเองดีกว่า ตอนนี้ศิษย์บอกว่าเดินไม่ไหว ต่อไปแม้ร่างกายจะใช้เดินก็ยังไม่มี เดินไม่ค่อยไหวดีกว่าไม่ได้เดิน คนที่มีรากบุญหนัก แค่สะกิดเพียงนิดเดียว ก็สามารถทำให้เขาบำเพ็ญธรรม ทำให้เขากลับคืนมาได้ในพริบตา แต่หากว่าเป็นคนที่มีความสงสัยมาก ก็ยากจะบำเพ็ญ สิ่งสำคัญที่ศิษย์ทุกคน ต้องปฏิบัติก็คือ ศึกษาใจของกันและกัน ถ้าหาเราอยู่ด้วยกัน แต่ใจเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน การปฏิบัติธรรม ยาก หรือ ง่าย เราต้องทำตัวเราให้เหมือน เครื่องกรองอยู่ภายใน น้ำขุ่นที่มีอยู่ในตัวเรา ต้องผ่านการกรอง จนค่อยๆใสได้ในที่สุด ความอ่อนน้อมนั้น เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม การอ่อนน้อมนั้นควรที่จะออกมาจากใจ ถ้าไม่ได้ออกมาจากใจ ไม่ถือเป็นการอ่อนน้อม ที่แท้จริงหนทางหารบำเพ็ญ จะต้องก้าวเดินด้วย ขาตัวเอง เราพึ่งผู้อื่น ไม่เหมือนพึ่งตนเอง ในขณะที่กำลังพึ่งตนเองอยู่ จะต้อง ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น นี่คือจิตเมตตา ที่เหล่าพุทธะให้การสั่งสอน ผลไม้สุกงอม หากไม่ทาน ก็มีแต่จะเน่าเสีย เปล่าประโยชน์ ธรรมะนี้ได้ฟังแล้วไม่ปฏิบัติ ก็ว่างเปล่า

เสริมปัญญา
ความทุกข์ ต้องอาศัยตนเอง เป็นผู้นำพาตน ให้หลุดพ้นทุกข์ จะตัดสินใจอะไร ก็ขอให้เรานั้น คิดก่อนทำ คิดก่อนพูด คิดก่อนแสดง คือ ผู้มีสติปัญญา อย่าเพียงส่งเสริมผู้อื่น จนทำให้ตัวเอง ตกหลุมแห่งโลกีย์ไป อย่าหลงหับทรัพย์สมบัติอันไร้ค่า ที่ใช้ไม่ได้ในยมโลก อย่าเสียเวลากับชีวิตที่ผ่านมา ให้มันต้องสูญเปล่าไปอีก
ทุกคนปรารถนาที่จะให้ผู้อื่น มาเติมใจของตนให้เต็ม แต่ในเมื่อตัวเองไม่เปิดใจ ที่จะให้เขาเติม แล้วมันจะเต็มได้อย่างไร มนุษย์เป็นคนช่างตาม คนช่างตามนั้น จะบำเพ็ญธรรมได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง
คนที่ไม่ฉลาด หรือไม่มีความรู้ไม่มาก ไม่ได้หมายความว่า จะบำเพ็ญไม่ตลอดรอดฝั่ง ส่วนคนที่ฉลาดนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะบำเพ็ญไปตลอดรอดฝั่ง สิ่งที่แข็งต้องกำจัดด้วยสิ่งที่อ่อน สิ่งที่อ่อนต้องพึ่งพาสิ่งที่แข็ง แปรผันจิตใจที่แข็งกระด้าง เข้าสู่จิตใจที่อ่อนโยน แต่อย่าอ่อนแอ เราอ่อนโยนได้ต่อทุกคน แต่ห้ามอ่อนแอต่อทุกคน สิ่งที่อ่อนโยนเท่านั้น ที่จะสามารถทะลุทะลวง ผ่านสิ่งที่แข็งกระด้างได้ จงทำตนเป็นคนโง่ คนโง่ที่จะก้าวล้ำเข้าสู่ ความฉลาดแห่งปัญญา จงทำตัวเอง ดั่งเช่น แก้วน้ำที่ว่าเปล่า สามารถรับน้ำจากผู้อื่นได้
รับแล้วดื่มเข้าไป มิใช่รับแล้วเทออก ผู้ที่คิดว่าตน ฉลาด รู้หมดทุกอย่าง แท้จริงแล้ว ความฉลาดของตน ไม่ได้ช่วยตน ให้หลุดพ้นได้เลย ให้วางใจเป็นกลาง ทำตัวเป็นคนโง่ๆ ที่ไม่คอยรู้เรื่องอะไร และเขาจะได้รู้มากกว่า คนที่เจ้าคิดว่าเขาฉลาด พุทธอริยะเจ้า มีแต่สั่งสอนให้เป็นคนดี และกระทำตนให้เป็นแบบอย่าง ส่วนเรานั้น มิได้ปฏิบัติตามท่านเหล่านั้น ได้แต่ กราบไหว้ เคารพบูชา อาศัยบารมี วิงวอน เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อย่าได้แค่เพียง เดินตามมหารอยพระบาท หรืออย่าได้เพียงกราบรอยพระบาท แต่ให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอน แยกแยะด้วยปัญญา ไม่เที่ยงตรงต่อธรรม หมื่นพันพระคัมภีร์ แม้แตกฉานก็ยากจะกลับคืน นิพพานนั้นอยู่ที่ตัวเราเอง หากเราคิดดี จิตเราฝักใฝ่ในสิ่งที่ดีนั้น ก็คือนิพพานแล้ว


เมตตาธรรม
จิตเมตตาเริ่มแรกนี้
หากทำได้ ก็จะเสริมส่ง เป็นจิตเมตตาที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนต่างต้องการ ความเมตตา มากกว่าความอาฆาต ทุกคนต่างมีเมตตา แต่ไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร ขอให้ศิษย์ มีจิตใจเมตตาตลอดเวลา เห็นผู้อื่นทุกข์ยาก เราต้องเข้าไปช่วยเหลือ เจ้ายังเป็นปุถุชน จำเป็นต้องฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นการยืน นั่ง ต้องเป็นแบบอย่างของผู้บำเพ็ญ เราจะสร้างบุญกุศล ไม่จำเป็นต้องสละเงินทองทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินมากมาย เรามีปาก เราพูดในสิ่งที่ดีนั้น ก็คือ การได้สร้างบุญแล้ว เงินทอง   จากการสละสร้างบุญกุศล
เพียงเล็กน้อย อย่าได้ดูแคลน เพราะจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะช่วยสร้างอนาคตของธรรม ให้สดใสได้เช่นกัน หากสละแล้ว ต้องสละด้วยใจจริง จิตใจที่มีแต่ให้ ไม่หวังสิ่งตอบแทน ช่วยเหลือผู้อื่น ้ที่มีความทุกข์ยาก
เราก็จะมีความสุขสบาย เราสร้างกุศลไปแล้ว ยังคิดเสียดาย ทำมากหรือทำน้อย ผลออกมาก็เหมือนกัน ผู้ที่เสียสละ จึงจะรู้ซึ้งถึงรสลาติของการเสียสละ ผู้ที่ไม่เสียสละ จะไม่รู้ถึงความเข้มข้น

ของความเสียสละได้เลย
รู้ตัวว่าคิดเล็กคิดน้อย ก็เปิดใจให้กว้าง รู้ตัวว่าตระหนี่ถี่เหนียว ก็บริจาคทานบ่อยๆ รู้ตัวว่าพูดหยาบคาย ก็พูดให้น้อยๆหน่อย รู้ตัวว่าชอบส่อเสียดนินทา ก็ค้นหาความผิดของตัวเอง ทุกวันเราจะต้องเป็นตัวแทน นำธรรมอันยิ่งใหญ่นี้ ไปบอกต่อผู้อื่นให้ได้รับรู้ เราจึงเป็นผู้มี จิตเมตตาที่ยิ่งใหญ่

                                                                                

ปณิธานใจ
การชวนคน
มารับธรรมะนั้น แม้เขาจะไม่มา ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ เราต้องหว่านเมล็ดพันธุ์ แห่งพุทธะไปทั่ว.. แนวหน้าร่วมกำลัง แนวหลังต้องร่วมประสาน การสูญเสีย ไม่อาจทำให้ปณิธาน ของผู้ที่มีความมั่นคง ล้มเลิกลงได้ ปณิธานที่ตั้งไว้ ไม่ใช่ตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ ก็ลืมเลือน ยิ่งนานวัน ยิ่งหายหน้าหานตา เท่ากับ ศิษย์ได้หลอกลวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลอกลวงจิตสำนึก ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภายในตัวเอง เสาไม่แกร่งพอ ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักได้ คานไม่มั่นคงพอ ไม่สามารถแบกรับงานใหญ่ได้ หัวหน้าไม่มั่นคงพอ ไม่อาจเป็นหัวหน้าได้ ชายไม่อดทนพอ ไม่สามารถเป็นชายได้
หนทางอริยะ เริ่มจากไหน ใครเป็นผู้สร้าง ความเป็นพุทธะ เริ่มจากไหน ตอนนี้เจ้าเป็นมนุษย์ แล้วต่อไปจะเลือกเป็นอะไร ทุกคน ต่างก็เป็นพี่น้อง ทั้งพี่น้องร่วมโลก และพี่น้องในสายใย แต่นับแล้วต่างก็คือ พี่น้องด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่แยกย้ายจากกันไป จนลืมบ้านเดิมของตนเอง.. อย่าไปสนใจว่า ผู้อื่นจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร แต่สิ่งที่เราจะต้องสนใจ ก็คือ เราจะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่น ได้สมบูรณ์หรือไม่ ต่างหาก ในขณะที่เราเต็มที่ กับงานธรรมะ   เราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเกิดจิตใจที่กระตือรือร้น ที่จะฝึกฝนช่วยงานอาจารย์แล้ว ล้วนแต่เป็นจิตใจของ พระโพธิสัตว์ ทั้งสิ้น ขอให้หนึ่งใจนี้ ตั้งในไว้ไม่หวั่นไหว หนึ่งใจนี้ ก็จะได้บรรลุธรรม อย่างแน่นอน เมื่อสงบลงจงกระทำการ สำรวจตรวจตราจิตใจตน เมื่อมีการเคลื่อนไหว ให้นำพาฉุดช่วยเหล่าเวไนย กาลเวลาคับขัน หากยังรีรอสงสัย ไม่เพียงแต่เจ้าจะยังมืดมนอยู่ แต่จะนำพาคนรอบข้าง และบรรพบุรุษ ให้ตกต่ำลงไปด้วย ยาวนานเท่าใด
กับเวลาที่เปลี่ยนผันไป กับใจคนที่เปลี่ยนแปลง กับน้ำตาที่หลั่งไหล ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านทุกสิ่งมาในชีวิตนี้ จะหาอะไร มาเป็นหลักประกันที่แน่นอน แม้แต่ลมหายใจ มันเคยบอกไหมว่า มันจะหมดเมื่อไหร่

                                                                               

ทดสอบเคี่ยวกรำ

เจอทุกข์ก็จะเจอธรรม
หากเจอแต่สุข มิอาจที่จะรู้ธรรมได้ เพราะฉะนั้นเราเกิดมา เราจะต้องถูกเคี่ยวกรำ จะต้องเจอขวากหนาม อุปสรรคทั้งหลายมาเคี่ยวกรำ ให้ตัวเราได้เจอพระธรรม ได้เปิดปัญญา ได้เป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่า รู้แจ้งในพระธรรม ในความทุกข์ขมนั้น จงค้นหาสิ่งที่หวาน แม้มันจะมีน้อยเสียเหลือเกิน แต่จงพอใจกับมัน   กับชีวิตที่เป็นทุกข์
แต่มีความสุขเจือปนอยู่นิรันดร เจ้าจะต้องไม่หวั่น ต่อหนทางที่ลำบากตรากตรำ เชือกเส้นหนึ่งมีปมเดียว ยังสามารถหาทางแก้ไขได้ หากเพิ่มขึ้นมาอีกปมหนึ่ง อุปสรรคก็เพิ่มมากขึ้น หกหมื่นกว่าปีแล้ว หลายคนอยู่รวมกัน มาชนกัน ผสานกัน ผูกแน่นเข้าไป เข้าไปอีก ทับถมกัน เมื่อไหร่จะเป็นเส้นเดียวกันได้ ถ้าหากว่าไม่เร่งแก้ปม
ในจิตใจของตนเองเสียก่อน จะรอให้ผู้อื่นมาช่วยแก้ไขให้ คงยาก...... ผู้ขาดความศรัทธา จะเกิดการทดสอบยิ่งให้ต้องล้ม ไม่มั่นคง ยิ่งจะมีแรงดึงดูดให้พลิกคว่ำ หากเจ้ามีจิตในการบำเพ็ญธรรมมาก มาทดสอบก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น หากการทดสอบเพียงเล็กน้อย เจ้ายังไม่สามารถฟันฝ่าไปได้ แล้วต่อไป มารทดสอบที่ยิ่งใหญ่เข้ามา พวกเจ้าจะสามารถรับไหวได้อย่างไรกัน   การบำเพ็ญธรรม
แม้ล้มลุกคลุกคลาน ก็ขอให้ก้าวหน้า ถึงแม้จะซัดเซพเนจร ก็อย่าให้ใจธรรมนี้สั่นคลอน แม้จะพ่ายแพ้ต่อทุกคน แต่อย่าแพ้ใจตนเอง ในโลกนี้ มีหนทางมากมายให้เราเลือกเดิน บ้างเลือกบนเส้นทางขรุขระ มีแต่ขวากหนาม แต่เป็นทางลัดถึงเร็ว แม้จะลำบากไปสักหน่อย
บ้างก็เลือกเดินบนหนทาง ที่ราบรื่น สุขสบาย โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันยาวไกลออกไป แต่ไม่ว่าคนเลือกเดิน หนทางสายไหนก็ตาม จุดมุ่งหมายก็คือสิ่งเดียวกัน อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคน อุปสรรค คือ ครู ครูชั้นยอดที่สอนให้เราก้าวหน้า จะยิ่งทำให้เรายิ่งเกิดปัญญา ถ้าหากจิตภายในของศิษย์เข้มแข็ง มารภายนอกอาจกล้ำกลายได้   แต่ถ้าหากมารภายในจิตของศิษย์ คุกคามตัวศิษย์เอง อันนี้......ก็พูดยากเหมือนกัน.. มารเกิดจากคน พระเกิดจากคน ในคนๆหนึ่งจะสามารถเป็นได้ทั้ง พระ และ มาร ในช่วงพริบตาเดียว ใจครึ่งหนึ่งเป็นพระ ใจครึ่งหนึ่งเป็นมารนั้น ยังเป็นปุถุชน ใจครึ่งใหญ่เป็นพระ ใจครึ่งใหญ่เป็นมาร นั่นคือผู้ที่เริ่มเข้าใจในหลักธรรม ใจทั้งหมดเป็นพระ ไม่มีเลยซึ่งเป็นมาร นั่นคือใจแห่งพุทธะ
เมื่อเจอทดสอบ เจ้าบอกว่า "ศิษย์ไร้ซึ่งปัญญาไร้ซึ่งความสามารถที่แก้ไข" ก็ในเมื่อหัวสมองของเจ้า ได้รับสัจธรรม เจ้าจะเอาปัญหานั้นมาจากที่ไหน?.... คำหวานหูมิใช่จะอยู่ได้นาน คำไม่ไพเราะทั้งหลาย
ต่างหากที่จะช่วยให้ศิษย์ เติบโตมาได้ในสถานการณ์ที่เลวร้าย คำพูดเพียงเล็กน้อยอาจจะสร้างสรรค์ ให้คนๆหนึ่งเป็นพุทธะก็ได้ และ ตรงกันข้ามกัน อาจส่งเสริมให้เขา กลายเป็นมารไปก็ได้ ประสบการณ์ทุกครั้งที่ผ่านมา
จะเป็นความสำเร็จในภายภาคหน้า ของผลงานชิ้นต่อไป เรืองราวต่างๆ ศิษย์ทำได้ เริ่มจากใจ ใจเป็นพระยิ่งใหญ่ จะเป็นมารก็จากใจอีก อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกเป็นเช่นไร ผลไม้จะออกดอกได้ผล ต้องมีแมลงรบกวน การบำเพ็ญธรรมจะได้มรรคผล จะต้องผ่านอุปสรรคอย่าได้กลัว


สำรวจตนเอง

เมื่อต้องการแก้ไข
ยึดติดสิ่งใด วางสิ่งนั้น ปัญญาก็จะเกิด แม้ฝนจะตก แม้จะเปียกปอน แม้จะร้อนหนาวยิ้มแย้มๆ คนเราเมื่อทำผิดแล้ว สำนึกได้ นั่นถือว่า เป็นผู้ที่มีค่าสูงสุดในโลกา เราสำนึกอะไร จึงสอนให้คนอื่นสำนึก หากเราไม่สำนึก ไปสอนให้คนอื่นสำนึกนั้นยาก หากศิษย์ให้อภัยตัวเอง ทุกครั้งที่ทำผิดทำผิดเล็กๆน้อยๆ เจ้าก็ให้อภัย
จนสะสมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คิดจะลบล้าง มันก็ไม่ง่ายแล้วนะ ศิษย์เอ๋ยการไหว้พระ ไหว้ใจตัวเองนั้น ต้องย้อนกลับเข้าข้างใน ย้อนในที่นี้ ย้อนด้วยความจริงใจ ด้วยความสำรวมแลสงบ ถ้าหากย้อยมองดูใจตัวเองทุกวัน ก็จะรู้ว่าเรามีสิ่งใดที่ควรแก้ไข อาจารย์นั้น อภัยให้ลูกศิษย์เสมอและ ศิษย์ก็อภัยให้ตัวเองเสมอๆ อย่างนี้
เราก็จะไม่มีความก้าวหน้า


ด้วยความห่วงใย
อย่าได้ดูแคลนตัวเองว่า เป็นปุถุชนธรรมดา เพราะปุถุชนธรรมดาก็คือ พุทธะที่ยิ่งใหญ่ ในวันข้างหน้า อย่าท้อถอยหมดกำลัง ก้าวมาถึงจุดนี้มิใช่ง่าย ขอให้รู้ว่าก้าวไปข้างหน้า คือ สวรรค์ถอยไปคือนรก หากถามว่าอาจารย์กลัวอะไรที่สุด เดิมทีอาจารย์ไม่มีความกลัว แต่มีความกลัวตอนมีศิษย์ คือกลัวว่า...ถ้าจากกัน ไม่เจอกันแล้ว ถึงตอนนั้นหน้าที่ของอาจารย์ ทำได้ไม่เรียบร้อย และไม่สามารถช่วยศิษย์ขึ้นมาได้ จึงหวังว่าศิษย์ทุกๆคน จะดูแลตนเองให้ดี แม้บางครั้ง ไม่มีใครเข้าใจศิษย์ ขอเพียง ศิษย์ให้กำลังใจตัวศิษย์เอง อาจารย์จะอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ต้องกลัวอาจารย์เพียงใช้พัดนี้ กันกรรมให้ศิษย์ได้ในระยะหนึ่งเท่า นั้น จะกั้นให้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือต้องบำเพ็ญ เพื่อเอากุศลชดใช้ให้กับเขา   ถ้าไม่บำเพ็ญ
ถึงตอนที่อาจารย์กั้นให้ศิษย์ไม่ได้แล้ว ศิษย์จะร้องขอให้อาจารย์ช่วยอย่างไร แม้ว่าอาจารย์จะสงสารศิษย์ จนหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดก็ตาม
อาจารย์ก็ไม่สามารถ จะช่วยศิษย์ได้อีกต่อไป ขอให้ศิษย์ทุกคนของอาจารย์ เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด แต่การที่จะเป็นตัวของตัวเองนั้น ไม่ใช่ปล่อยตามนิสัยของตัวเอง
แต่ต้องปล่อยตามธรรมชาติ ของพุทธะที่อยู่ในตัวเรา ธรรมชาติของการเป็นพุทธะ คือ มีสติ มีปัญญา มีสมาธิ.. ความรักจากใจอาจารย์ แม้จะไม่หวานส่งให้
์ ไม่มีรอยยิ้ม แต่ความรักของอาจารย์ ก็มอบให้ทุกคนมิมีวันจาง งานโปรดสามภพ อาจารย์เพียงผู้เดียว จะทำสำเร็จได้อย่างไร ถ้าหากขาดศิษย ที่คอยช่วยอาจารย์มาตลอด
อาจารย์ขอบใจทุกคน แม้ศิษย์จะระลึกถึงอาจารย์ เฉพาะแต่เวลาที่มีความทุกข์ใจเท่านั้น แต่เวลาสุขใจ อาจารย์ก็จะมาอยู่เคียงข้างเช่นกัน
11 พฤศจิกายนเวลา 10:24 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น