เอกธรรมมรรค อนุตตรธรรมวิถีจิต

กลุ่ม "เอกธรรมมรรค อนุตตรธรรมวิถีจิต" เป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นโดยนักศึกษาผู้บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรม บล็อคนี้จัดทำขึ้นเพื่อร่วมศึกษาบทความที่สมาชิกของกลุ่มที่ได้โพสต์ไว้ในกลุุ่ม FaceBook ผู้ดูแลนำมาเก็บไว้เพื่อสมาชิกจะได้เข้ามาศึกษาย้อนหลังเท่านั้น

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การบำเพ็ญวิถีธรรม ในธรรมกาลยุคขาว (โดยสังเขป)


             บันทึกต่อไปนี้ เป็นบันทึกที่ผู้น้อย เรียบเรียงขึ้นมา จากความเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และนักธรรมอาวุโสทั้งหลายส่งเสริมชี้แนะ       จากการสังเกตดูมุมมองหรือทัศนคติของคนทั่วไปที่มีต่อวิถีอนุตตรธรรมนั้น อาจจะมีบางอย่างที่ยังกังขาอยู่ว่าวิถีธรรมนี้คืออะไร ทำไมต้องมีคนมาชวนเราไปกราบขอรับวิถีธรรม ผู้น้อยจึงขอร่วมศึกษากับทุกท่าน หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดพลาดขอฟ้าเบื้องบนโปรดเมตตาประทานอภัย นักธรรมอาวุโสทั้งหลายส่งเสริมชี้แนะ
..........................................................................................................................
 >>> การบำเพ็ญในหมื่นพันวิถีทาง ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การยกระดับจิตสู่ความบริสุทธิ์ สงบสุข ดีงาม อันเป็นสภาวะเดิมแท้แห่งจิตญาณของทุกท่าน เพื่อความหลุดพ้นจากห้วงทะเลอารมณ์ อันเป็นห้วงทุกข์แห่งสังสารวัฏ
>>> ซึ่งในการปกโปรดสามโลกของวิถีธรรมในครั้งนี้ เป็นงานใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะกาลเวลาของโลกได้ดำเนินมาสู่ยุคท้ายปลายกัปป์ซึ่งเป็นยุคที่จิตใจผู้คน ตกต่ำ มากไปด้วยกิเลสตัณหาราคะ คุณธรรมเสื่อมทราม ทำให้สังคมโลกโดยรวมเข้าสู่กลียุค ทำให้ความเป็นเอกภาพ สันติภาพ และภราดรภาพอันมีมาแต่เดิมสูญหายไป ทำให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ มากมายขึ้นในโลกดังที่เห็นในปัจจุบันนี้  ดังนั้นวิถีธรรมจึงถึงกำหนดกาลที่จะต้องถ่ายทอดลงสู่ครัวเรือน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงจิตเดิมแท้แห่งตน เพื่อนำมาซึ่งเอกภาพและสันติสุขแห่งโลกโดนรวมได้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
>>>>> ซึ่งก่อนหน้านี้วิถีธรรมได้ปกโปรดลงสู่ชนชั้นปกครองเมื่อประมาณ 5,000 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนจีนโบราณอันเฟื่องฟูด้วยศิลปะและอารยธรรมอันดีงาม ซึ่งยุคสมัยนี้เรียกว่า ธรรมกาลยุคเขียว (ใบบัว ซึ่งเป็นลักษณะการกราบไหว้ในสมัยนั้น) อันเป็นยุคที่พระทีปังกรพุทธเจ้า ปกครองธรรมจักรวาล โดยในยุคนั้นผู้คนจิตใจดีงาม บ้านเมืองล้วนสงบสุขร่มเย็น
>>>>> หลังจากนั้น เมื่อชนชั้นปกครองเริ่มมีคุณธรรมตกต่ำลงเริ่มหลงไหลในอำนาจราชศักดิ์มากขึ้น ทำให้วิถีธรรมถึงกาลเวลาถ่ายทอดลงสู่นักบวช นักพรต นักปราชญ์ผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย อันเป็นยุคที่พระศากยมุณีพุทธเจ้า ปกครองธรรมจักรวาล โดยยุคนี้เรียกว่าธรรมกาลยุคแดง (ดอกบัว อันเป็นลักษณะการกราบไหว้ในสมัยนั้นที่เรียกว่าการพนมมือ)
>>>>> และในปัจจุบันนี้กาลเวลาได้เข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว (รากบัว อันเป็นการแสดงความเคารพในยุคนี้ที่ใช้มือสองข้างมาประกบกันเป็นรากบัว) ซึ่งเป็นยุคที่วิถีธรรมปกโปรดลงสู่ครัวเรือน เป็นยุคที่พระศรีอาริยเมตไตยพุทธเจ้า ปกครองธรรมจักรวาล โดยพระองค์เองนั้นมีมหาปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่จะแปรเปลี่ยนโลกใบนี้ให้เป็นดิน แดนแห่งดอกบัวบาน โดยพระวิสุทธิอาจารย์ที่ทำหน้าที่แบกรับพระโองการฟ้าในถ่ายทอดวิถีธรรม ในธรรมกาลยุคขาว ณ ขณะนี้มีสองพระองค์ด้วยกันคือ พระพุทธจี้กง และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ที่ทำหน้าที่เป็นดั่งพระอาจารย์ชาย และพระอาจารย์หญิง ทำให้สาธุชนทั้งชายหญิงได้มีโอกาสปฏิบัติบำเพ็ญโดยถ้วนทั่วเสมอกัน
>> สำหรับวิถีอนุตตรธรรมนี้ยังถือว่าเป็นของใหม่อยู่สำหรับประเทศไทย เพราะเพิ่งมีการนำวิถีธรรมมาเผยแผ่ผ่านมาได้ประมาณ 30 ปีเท่านั้น ทำให้บางครั้งอาจเกิดปัญหาความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นลัทธิอุบาทว์ ศาสนามารมาหลอกลวงให้งมงาย จึงมีบางคนถึงกับกล่าวร้ายทำลายวิถีธรรมอันเนื่องมาจากความหวาดระแวง บวกกับความยึดมั่นอยู่ในรูปลักษณ์ ความเคยชินอยู่ในรูปแบบวิธีการเดิม ๆ ที่เคยปฏิบัติตาม ๆ กันมา
>>ฉะนั้นเพื่อทำความเข้าใจถึงความ แตกต่างในวิธีการปฏิบัติธรรมกิจ และแนวทางในการบำเพ็ญในปัจจุบันกับอดีตที่ผ่านมาจึงจะขอยกตัวอย่างเพื่อ เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพดังต่อไปนี้ :
>>>>>>>> การปฏิบัติบำเพ็ญ เมื่อครั้งธรรมกาลยุคแดงซึ่งวิถีธรรมลงสู่นักบวช นักพรต และนักปราชญ์ ในศาสนาต่าง ๆ ทั้ง 5 ศาสนา อันได้แก่ ๑) พระพุทธศาสนา แห่ง พระศากยมุณีพุทธเจ้า    ๒) ศาสนาเต๋าของท่านเหลาจื้อ    ๓) ศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ    ๔) ศาสนาคริสต์ของพระเยซู   และ ๕) ศาสนาอิสลามของท่านนบีโมฮัมหมัด  (ซึ่งทั้ง 5 ศาสนานี้สิ่งที่เบื้องบนมีพระโองการฟ้าให้ทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมะกล่อมเกลายก ระดับจิตใจเวไนยสัตว์ตามจริตของผู้คนในแต่ละภูมิภาคในทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก)
ซึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนอาศัยวิธีการปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ ที่พระศาสดาได้วางระเบียบแบบแผนเอาไว้ ซึ่งเมื่อพระศาสดาพระองค์เหล่านั้นได้บรรลุธรรมกลับคืนไป ทำให้ในศาสนาต่าง ๆ เหลือเพียงพระธรรมคำสอนไว้เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
>>>>>>>> ซึ่งพระธรรมคำสอนเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องบำบัด กล่อมเกลาจิตใจมนุษย์ให้กลับคืนสู่ความดีงาม โดยการย้อนมองส่องตน เพื่อให้จิตใจที่ฟุ้งซ่านแตกกระจายออกไปตามแรงแห่งกิเลสตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ และอารมณ์ ต่าง ๆ ที่ทำให้จิตเดิมแท้เกิดความขุ่นมัว เต็มไปด้วยหนี้สินบาปเวรกรรมเกาะเกี่ยวไว้ อันทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วนชาติ ได้กลับคืนสู่สภาวะแห่งความตื่นแจ้ง ดีงาม อีกครั้ง ซึ่งการบำเพ็ญที่เราพบเห็นในศาสนาต่าง ๆ นั้นเปรียบเสมือนการเดินเข้าไปในผืนป่าอันกว้างใหญ่ เพื่อตามหากุญแจมาไขประตูในการเดินกลับเข้าบ้าน (แดนนิพพาน)
>>>>>>>> แต่ในปัจจุบันที่วิถีธรรมลงสู่ครัวเรือนในบัดนี้เป็นโอกาสอันดีที่มีพระวิ สุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดหนทางตรงในการบำเพ็ญจิตนี้ อย่างง่ายดาย โดยให้รับรู้หนทางหลุดพ้นจากการรู้จักที่ตั้งแห่งจิตญาณในตนเองก่อน จากนั้นค่อยปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อการขัดเกลายกระดับจิตใจต่อไปพร้อมไปกับการ สร้างบุญสร้างกุศลคุณความดีต่าง ๆ สะสมเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนการที่พระองค์ท่านได้นำกุญแจมาไขประตูบ้านให้ กับเราในทันทีทันใด โดยที่เรานั้นไม่ต้องเสียเวลาเดินเข้าไปหากุญแจในผืนป่าอันกว้างใหญ่
>>>>>>>> แต่เนื่องด้วยบ้านของเรานั้น (พุทธจิตธรรมญาณในตน) ถูกปิดตายมานาน เราจึงต้องเข้าไปปัดกวาดทำความสะอาดเพื่อให้บ้านที่ขุ่นมัวกลับมาสะอาดใส เกลี้ยงเกลาอีกครั้ง แต่เนื่องด้วยบ้านเรายังปราศจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ดำรงชีวิต เราจึงต้องไปสรรค์สร้างสิ่งที่จำเป็นต่าง ๆ ที่ต้องใช้ภายในบ้าน เปรียบเสมือนการปฏิบัติบำเพ็ญตนทั้งภายนอกภายในเพื่อ สรรค์สร้างคุณธรรมบารมีและมรรคผลกุศลบุญต่าง ๆ เพื่อเป็นปัจจัยในการหลุดพ้นสู่นิพพาน (อุปกรณ์ที่ใช้ดำรงชีวิตในบ้าน) อีกทั้งบรรพชน 7 ชั้นและลูกหลานอีก 9 ชั่วคนก็สามารถได้รับอานิสงค์จากการบรรลุธรรมของเราได้เช่นกัน (จึงเรียกว่าการปรกโปรดสามโลกนั่นเอง)
ฉะนั้นแล้วขอทุกท่านที่ยัง กังขาลังเลสงสัยอยู่นั้นขอจงโปรดเปิดใจให้กว้างแล้วมาศึกษามาสัมผัสดูถึง คุณวิเศษแห่งวิถีอนุตตรธรรม เพราะธรรมะแม้จะสูงส่งเพียงใด หากท่านไปสัมผัสด้วยตนเอง ผู้น้อยก็ไม่มีความสามารถจะทำให้ท่านกระจ่างขึ้นมาได้
ขอกราบสวัสดี เจริญธรรม เจริญสุข ทุก ๆ ท่านนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น