พุทธศาสตร์เรื่อง การยึดติด
การยึดมั่นถือมั่น การยึดติด หรือในภาษาพุทธศาสตร์ใช้คำว่าอุปาทานคืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญนัก แทบจะเป็นคำที่สำคัญมากในการอธิบายเหตุในการเกิดทุกข์เหมือนคำว่าตัณหา ดั่งเช่นสิ้นตัณหาสิ้นอุปาทานก็สิ้นทุกข์ เป็นต้น
การยึดมั่นถือมั่น การยึดติด หรือในภาษาพุทธศาสตร์ใช้คำว่าอุปาทานคืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญนัก แทบจะเป็นคำที่สำคัญมากในการอธิบายเหตุในการเกิดทุกข์เหมือนคำว่าตัณหา ดั่งเช่นสิ้นตัณหาสิ้นอุปาทานก็สิ้นทุกข์ เป็นต้น
บาง ทีคำว่าการยึดมั่นถือมั่น การยึดติดดูจะเข้าใจยากเหมือนกัน ถ้าใช้คำว่าการเสพติด(Addiction) ดูจะเข้าใจได้ดีกว่าเพราะปัจจุบันโลกเรามีปัญหาเรื่องยาเสพติดค่อนข้างมาก เพียงแต่ทางพุทธศาสตร์ใช้กับสิ่งที่นอกเหนือจากยาเสพติด ซึ่งอยู่นอกเหนือสามัญสำนึกของเรา นอกจากนี้คำว่าอุปาทานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ยังไม่ตรงกับความหมายเดิมของ พุทธศาสตร์นัก จึงสร้างความลำบากให้แก่ผู้เริ่มเข้ามาศึกษาพุทธศาสตร์พอสมควร
หากย้อนกลับไปสังเกตการใช้ศัพท์ในเรื่องการรับรู้(ผัสสะ)ด้วยประสาทสัมผัส ของเรา ก็เป็นการใช้ศัพท์พื้นๆที่เราเข้าใจดีอยู่แล้ว เช่นผัสสะหรือการสัมผัสรู้ เราเห็นภาพก็เปรียบเหมือนเราสัมผัสภาพ แต่เป็นการสัมผัสด้วยตา ด้วยระบบประสาทตา เมื่อสัมผัสแล้วก็มีการยึดติดโดยมีตัณหาที่เปรียบเสมือนกาวหรือยางเหนียว สิ่งที่ยึดติดกันก็คือจิตกับภาพที่เห็น นั่นคือความหมายของการยึดติดหรืออุปาทาน ธรรมชาติเป็นอย่างนี้เอง เมื่อยึดติดแล้วก็ยากที่จะแกะออกหรือหลุดออก นอกจากนี้จิตยังไปยึดติดกับเสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่ดมทางจมูก รสชาติที่ได้ลิ้มทางรส สัมผัสทางผิวหนัง และมโนภาพที่รู้ได้ด้วยใจ จิตเลยถูกยึดโยงอยู่กับโลกด้วยลักษณะอย่างนี้ หมดอิสรภาพ เมื่อนิพพานแล้วจึงใช้คำว่าจิตหลุดพ้น คำว่าหลุดพ้นจึงได้มาด้วยลักษณะแบบนี้เอง ด้วยการหมดซึ่งตัณหา
จึงจำเป็นต้องรู้ว่าการเสพติดหรือการยึดติด(อุปาทาน)นั้นมีอะไรบ้าง ในทางพุทธศาสตร์กล่าวไว้ดังนี้
๑ กามุปาทาน
๒ ทิฏฐุปาทาน
๓ สีลัพพัตตุปาทาน
๔ อัตตวาทุปาทาน
กามุปาทาน การยึดติดในกามคุณหรือความสวยงามของ ธรรมชาติได้แก่ ภาพ เสียง กลิ่น รสและสัมผัส อันนี้เป็นที่เข้าใจกันง่าย แต่ถึงกระนั้นถ้าไม่ได้เรียนพุทธศาสตร์ก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่า ความสวยงามของธรรมชาติหรือความสุนทรีย์ นั้นเป็นสิ่งที่เสพติดได้เหมือนยาเสพติด โดยเฉพาะพวกฝรั่งมักถือว่าสุนทรีย์เป็นความงาม เป็นความดี ทำไมพุทธศาสตร์ถึงได้มองเป็นสิ่งเสพติด ให้ถอยห่าง เป็นศัตรูของพรหมจรรย์ เป็นธรรมวินัย โดยเฉพาะสำหรับผู้แสวงหานิพพาน ทั้งนี้เพราะโดยทั่วไปมนุษย์พัฒนาได้แค่จริยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือส่งเสริมการทำความดี ละทิ้งความชั่ว ให้รักความสวยงาม ให้เกลียดความอัปลักษณ์ แต่พุทธศาสตร์แล้ว ให้ละทิ้งทุกอย่างที่เสพติดได้ซึ่งรวมทั้งความสวยงามด้วย
ทิฏฐุปาทาน การยึดติดในเรื่องความคิด ความเชื่อ (ทิฏฐิ) เรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ มนุษย์หากคิดเรื่องใดหรือเชื่อเรื่องใดแล้วมักเปลี่ยนได้ยาก แม้เรื่องที่เขาไม่ได้สัมผัสด้วยตนเองก็ตาม ยกตัวอย่างเรื่อง Fixed Idea ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของทิฏฐุปาทาน ในสังคมเราเป็นที่รู้กันดีว่าถ้าไม่อยากทะเลาะให้เสียความสัมพันธ์ก็อย่าคุย กันเรื่องศาสนาหรือการเมือง เพราะทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องของทิฏฐิเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ละคนย่อมยึดติดกับเรื่องนี้อย่างแข็งแรงแล้ว หากผู้อื่นพยายามไปคุยเพื่อโน้มน้าวให้เชื่อเป็นอย่างอื่นแล้ว ก็เหมือนไปแย่งยาเสพติดออกจากปาก การทะเลาะเบาะแว้งจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเกิดขึ้น สำหรับพุทธศาสตร์ได้สอนให้ละทิฏฐิบางเรื่อง และสอนทิฏฐิบางเรื่องเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้น
สีลัพพัตตุปาทาน การยึดมั่นในศีลและพรต ในขณะที่ทิฏฐิเป็นเรื่องความคิด ความเชื่อ ภาคทฤษฎี ส่วนศีลและพรตเป็นเรื่องภาคปฏิบัติ เป็นภาคการกระทำ ก็คือส่วนที่ต่อจากทิฏฐินั่นเอง เขาเชื่ออย่างไรเขาก็ปฏิบัติอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดประเพณีวัฒนธรรมในสังคมต่างๆถึงแม้จะแตกต่าง หลากหลาย แต่ก็เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งสิ้น ประเพณีบางอย่างก็ดีงาม แต่บางอย่างก็เลวรับไม่ได้เหมือนกันเช่นการรับน้องโหดๆที่เป็นข่าวทุกปี สำหรับนักบวชก็มีกรอบของศีลและพรตกำหนดให้ปฏิบัติ แต่ในพุทธศาสตร์ได้ชี้โทษของการยึดติด แม้ศีลและพรตบางอย่างเป็นสิ่งที่ที่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่ให้ปฏิบัติไปด้วยความงมงาย แต่ให้ปฏิบัติในลักษณะมีเหตุผล แม้ศีลและพรตบางอย่างที่ไม่เหมาะก็ให้ละอยู่แล้ว
อัตตวาทุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในเรื่องอัตตา ความยึดมั่นนี้ดูจะเป็นสามัญสำนึกเสียแล้ว จนดูไม่ออกว่าเป็นการเสพติด ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ทำไมต้องละทิ้งความยึดมั่นในเรื่องอัตตาซึ่งเปรียบเหมือนเงาที่ติดตามเรามา ตั้งแต่เกิด แม้พอจะเข้าใจได้ว่าไม่ใช่เงาไม่ใช่เรา แต่ก็ยังคิดไปว่าเป็นเงาของเรา นั่นแหละอัตตวาทุปาทาน
โดยสรุปการยึดติด การยึดมั่นถือมั่น การเสพติดทำให้เกิดโรคทุกข์ทำให้เกิดอาการของทุกข์ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพียงแต่เข้าใจให้ทั่วถึง ให้ครอบคลุมว่าเรายึดติดเรื่องอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่ยาเสพติดเท่านั้น ส่วนสาเหตุของการยึดติด การเสพติด พระพุทธเจ้าก็ได้ค้นพบต้นสายปลายเหตุแล้วอย่างละเอียด นั่นคือไล่ย้อนไป พบตัณหา เวทนา ผัสสะ จนกระทั่งถึงอวิชชาตามลำดับ เมื่อค้นพบต้นสายปลายเหตุอย่างนี้ ก็พบวิธีการดับทุกข์โดยละเอียดเช่นกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พุทธศาสตร์หรือที่เรียกว่าแก่นธรรมนี้กลับถูกอธิบายไปอย่างผิดๆ จนกระทั่งนำมาใช้ประโยชน์มิได้อย่างที่ควรจะเป็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น